ผวจ.ยโสธร  นำภาคราชการและประชาชน ร่วมตักบาตรย้อนยุค วิถีถิ่น วิถีไทย ถนนคนเดินหน้าศาลหลักเมืองยโสธรภายใต้มาตรการป้องกันคิวิด-19 อย่างเคร่งครัด

ผวจ.ยโสธร  นำภาคราชการและประชาชน ร่วมตักบาตรย้อนยุค วิถีถิ่น วิถีไทย ถนนคนเดินหน้าศาลหลักเมืองยโสธรภายใต้มาตรการป้องกันคิวิด-19 อย่างเคร่งครัด
 
        เมื่อวันนี้ 25 มี.ค.65 ที่ผ่านมานายชลธี  ยังตรง  ผู้ว่าราชการจังหวัดยโสธร พร้อมด้วยนายชัยวัฒน์ แสงศรี รองผู้ว่าราชการจังหวัดยโสธร นายชัยวัฒน์  ชัยเวชพิสิฐ ปลัดจังหวัดยโสธร พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการ  พุทธศาสนิกชน ร่วมทำบุญตักบาตรย้อนยุค วิถีถิ่น วิถีไทย โดยมีโพระภิกษุ/สามเณร 18 รูป รับบิณฑบาต โดยผู้ร่วมกิจกรรมได้แต่งกายด้วยชุดผ้าไทย เพื่อเป็นการรณรงค์ สืบสานอนุรักษ์ศิลป์ผ้าถิ่นไทย ตามนโยบายของจังหวัดยโสธร
       โอกาสนี้ พระครูอนุรักษ์วรดิตถ์ เจ้าคณะอำเภอเมืองยโสธร เจ้าอาวาสวัดสิงห์ท่า ประธานฝ่ายสงฆ์ได้กล่าวสัมโมทนียกถาแก่พุทธศาสนิกชนที่มาร่วมทำบุญตักบาตรว่า                                                                                                                                                                                                                                      ฤดูนี้ มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ต้องปรับตัว เพราะว่าส่วนหนึ่งอากาศร้อน อบอ้าว ทำให้อาหารบูดหรือเสียได้ง่าย เช่นกับจิตใจของคนเราเมื่อเข้าสู่ฤดูร้อน ก็อบอ้าว ทำให้เกิดความหงุดหงิด อารมณ์เสีย แม้แต่จิตใจบางครั้งก็ร้อนมากกว่าอากาศ สิ่งที่เป็นเครื่องปกปักรักษาเรา ร่างกายของเราก็มักมีสิ่งคุ้มกัน คุ้มครอง รักษาเรา ส่วนใดที่ไม่ดี ร่างกายก็กำจัดออกไป สิ่งใดที่เป็นส่วนเกินร่างกายก็กำจัดออกไป ส่วนใดที่เหมาะสม ร่างกายก็จะรักษาสิ่งนั้น และนำไปใช้ประโยชน์ นั่นก็คือกลไกของร่างกาย สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ได้กล่าวถึงสิ่งที่ปกปักรักษา ให้โลกนี้ อยู่รอดปลอดภัย เป็นสุขตามสมควร สิ่งนั้นก็คือ ธรรมะที่เป็นเครื่องรักษาโลก 2  ข้อ อันได้แก่ 
       1.“หิริ” นั่นคือความละอายในการทำสิ่งที่ผิด หรือความเป็นบาป การรู้จักหักห้าม พึงรู้ว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งไม่ดี คำว่าละอายในที่นี้ พระพุทธองค์ได้เปรียบเทียบเป็นรูปธรรมว่า คนเราชอบสิ่งที่สะอาดสะอ้าน สวยงาม แต่จะรังเกียจสิ่งที่เป็นสิ่งสกปรก แม้เสื้อผ้าที่มีกลิ่นอับ กลิ่นเหม็นก็ไม่อยากสวมใส่ คนที่ชอบความสวยงาม สะอาจสะอ้านนั้น มักรังเกียจสิ่งที่สกปรกที่มาแปดเปื้อนต่อร่างกายฉันใด คนที่มีจิตใจละอายต่อบาปก็ไม่มีจิตใจที่อยากจะทำผิดหรือทำบาป นั่นคือ การละอายต่อบาป
        2 . “โอตตัปปะ” คือบุคคลที่มีความละอายต่อบาป (หิริ) แล้วนั้น ก็จะเกิดความเกรงกลัว ยกตัวอย่าง เมื่อเราเกรงกลัวต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เช่น กลัวผี กลัวสัตว์ร้าย กลัวสิ่งที่น่ากลัว ก็มักจะไม่กล้าเข้าไปใกล้ เหมือนกับคนเฒ่าคนแก่ที่สอนว่า ถ้าหากว่ามองสิ่งที่เป็นบาป เป็นกรรมนั้นเป็นสิ่งที่น่ากลัวก็จะไม่ทำสิ่งนั้น  พระพุทธองค์ท่านกล่าวว่า บุคคลใดที่มองเห็นความบาปนั้นเป็นเหมือนอสรพิษที่คิดร้าย เหมือนกันกับงูที่มีพิษ ก็ไม่อยากจะเข้าใกล้ เช่นกันกับเสือ หรือสัตว์ร้ายที่มีพิษมีภัย เพราะเกรงกลัวว่าสิ่งนั้นจะอันตรายต่อตัวเรา ดังนั้นถ้าหากว่าบุคคลนั้นเกรงกลัวต่อบาป ต่อกรรมที่เกิดจากผลของการกระทำนั้น ก็คือ โอตตัปปะ 
         พระพุทธองค์ท่านกล่าวว่าธรรมะ 2 ข้อนี้ ท่านยกย่องว่าเป็น “โลกบาล” คือเป็นธรรมเครื่องคุ้มครองโลกให้อยู่เป็นสุขได้ ถ้าบุคคลประพฤติปฏิบัติธรรมะเพียง ๒ ข้อนี้นั้น โลกนี้จะงดงาม สดใส และอยู่อย่างมีความสุข 
        ในการจัดกิจกรรมดังกล่าวได้ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 อย่างเคร่ง ...////.....
                                                                                                                                                                                               ส.ปชส.ยโสธร/ข่าว/ 28 มี.ค.65
 

แชร์ข่าวนี้